ประเพณีและวัฒนธรรม
จังหวัดนครศรีธรรมราช
1. ประเพณีสารทเดือนสิบ
ความเป็นมา
ประเพณีสารทเดือนสิบวิวัฒนาการมาจากประเพณีเปตพลีของพราหมณ์
ซึ่งลูกหลานจัดขึ้น เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
ต่อมาพวกพราหมณ์จำนวนมากได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและยังถือปฏิบัติในประเพณีดังกล่าวอยู่
พระพุทธองค์เห็นว่า ประเพณีนี้มีคุณค่า
เป็นการแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษนำความสุขใจให้ผู้ปฏิบัติ
จึงทรงอนุญาตให้อุบาสกอุบาสิกาประกอบพิธีนี้ต่อไปได้
ประเพณีสารทเดือนสิบมีมาตั้งแต่พุทธกาลคาดว่า
เมื่อพระพุทธศาสนาเผยแพร่เข้ามาในนครศรีธรรมราชจึงรับประเพณีนี้มาด้วย
ระยะเวลาดำเนินการ
วันแรม ๑ ค่ำ ถึงแรม ๑๕
ค่ำเดือนสิบ แต่ชาวนครศรีธรรมราช นิยมทำบุญคือ วันแรม ๑๓-๑๕ ค่ำ
สำหรับการจัดงานเดือนสิบจะเริ่มตั้งแต่วันแรม
9 ค่ำ เดือน 10 ถึง วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี รวม 10 วัน 10 คืน
สาระสำคัญ
๑.เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษ
โดยรำลึกถึงคุณความดีของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
๒.เป็นโอกาสได้รวมญาติที่อยู่ห่างไกลได้มาพบปะซักถามสารทุกข์สุกดิบต่อกันและได้โอกาสทำบุญร่วมกัน
๓.เป็นการเก็บเสบียงอาหารมีทั้งพืชผักอาหารแห้ง
อาหารสำเร็จรูปจัดนำไปถวายในรูปหมรับหรือสำรับ
เพื่อที่ทางวัดจะได้เก็บรักษาไว้เป็นเสบียงสำหรับพระภิกษุสงฆ์ในฤดูฝน
2. ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ
ความเป็นมา
ในสมัยที่พระเจ้าศรีธรรมโศกราชเป็นกษัตริย์ครองตามพรลิงค์(นครศรีธรรมราช)
อยู่นั้น ได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุเจดีย์ครั้งใหญ่และแล้วเสร็จในปี
พ.ศ.๑๗๗๓ ขณะที่เตรียมสมโภชพระบรมธาตุอยู่นั้น ชาวปากพนังมากราบทูลว่า
คลื่นได้ซัดเอาผ้าแถบยาวผืนหนึ่งซึ่งมีภาพเขียนเรื่องพุทธประวัติมาขึ้นที่ชายหาดปากพนัง
ชาวปากพนังเก็บผ้านั้นถวายพระเจ้าศรีธรรมโศกราช
พระองค์รับสั่งให้ซักผ้านั้นจนสะอาดเห็นภาพวาดพุทธประวัติ เรียกว่า “ผ้าพระบฏ” จึงรับสั่งให้ประกาศหาเจ้าของ
ได้ความว่าชาวพุทธจากหงสากลุ่มหนึ่ง จะนำผ้าพระบฏไปบูชาพระพุทธบาทที่ลังกา
แต่ถูกพายุพัดพามาขึ้นชายฝั่งปากพนัง
เหลือผู้รอดชีวิตสิบคนพระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงมีความเห็นว่าควรนำผ้าพระบฏไปห่มพระบรมธาตุเจดีย์
เนื่องในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุ แม้จะไม่ใช่พระพุทธบาทตามที่ตั้งใจ
แต่ก็เป็นพระบรมสารีริกธาตุซึ่งเจ้าของผ้าพระบฏก็ยินดี
การแห่ผ้าขึ้นธาตุจึงมีขึ้นตั้งแต่ปีนั้นและดำเนินการสืบต่อมา
จนกลายเป็นประเพณีสำคัญของชาวนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน
ระยะเวลาดำเนินการ
แต่เดิมการแห่ผ้าขึ้นธาตุนิยมจัดปีละสองครั้ง
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสาม (วันมาฆบูชา) และวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนหก (วันวิสาขบูชา)
โดยนำผ้าไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
ปัจจุบันนิยมทำกันในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสาม (วันมาฆบูชา) มากกว่า
สาระสำคัญ
๑.
แสดงให้เห็นลักษณะสังคมของนครศรีธรรมราช
ที่ยึดมั่นอยู่ในพระพุทธศาสนาการทำบุญเพื่ออุทิศเป็นพุทธบูชาเพื่อประสงค์ให้ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้า
๒.
แสดงให้เห็นว่าองค์พระบรมธาตุเจดีย์ เป็นศูนย์รวมจิตใจ ศูนย์รวมความศรัทธา
พุทธศาสนิกชนทั่วไปทุกทิศจึงประสงค์มาห่มผ้าพระธาตุอย่างพร้อมเพรียงกัน
3. ประเพณีลากพระ
ความเป็นมา
ในสมัยที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นแล้ว
พุทธศาสนิกชนได้อัญเชิญพระพุทธรูปซึ่งสมมุติแทนองค์พระพุทธเจ้ามาแห่แหน
ซึ่งเปรียบเสมือนการรับเสด็จและถวายภัตตาหารให้พระพุทธเจ้าด้วยตนเอง
พระภิกษุจีนชื่ออี้จิง ได้จาริกแสวงบุญผ่านมายังอาณาจักรตามพรลิงค์
ได้พบเห็นชาวบ้านปฏิบัติประเพณีลากพระจึงบันทึกจดหมายเหตุไว้ว่า “พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง
มีคนแห่แหนนำมาจากวัด โดยประดิษฐานบนรถหรือบนแคร่
มีพระสงฆ์และฆราวาสหมู่ใหญ่ห้อมล้อมมา มีการตีกลองและบรรเลงดนตรีต่างๆ มีการถวายของหอมและดอกไม้และถือธงชนิดต่าง
ๆ ที่ทอแสงในกลางแดด พระพุทธรูปเสด็จไปสู่หมู่บ้านด้วยวิธีดังกล่าว”
ระยะเวลาดำเนินการ
วันลากพระจะทำกันในวันออกพรรษา
คือ วันแรม ๑ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด
สาระสำคัญ
๑.เป็นประเพณีที่ให้ความสำคัญกับสังคมเกษตรกรรม
ด้วยความเชื่อว่าอานิสงฆ์แห่งการลากพระจะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล
การทำบุญเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล จึงเป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่ง
การลากพระแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างประเพณีกับวิถีชีวิตของคนในสังคมเกษตรกรรม
๒.เป็นการปฏิบัติตามความเชื่อว่า
การทำบุญจะส่งผลให้ผู้ที่ทำได้รับบุญกุศลให้ประสบความสำเร็จในชีวิต
จึงมีการปฏิบัติตามประเพณีและความเชื่อตลอดมา
๓
เป็นการแสดงออกถึงความพร้อมเพรียง ความสามัคคีพร้อมใจในการทำบุญทำทาน
และเกิดความสนุกสนาน
4. ประเพณีอาบน้ำคนแก่
ความเป็นมา
อาบน้ำคนแก่เป็นประเพณีเกี่ยวเนื่องมาจากประเพณีสงกรานต์ชาวนครศรีธรรมราชเชื่อว่าในวันที่
๑๔ เมษายน เทวดาที่เฝ้ารักษาเมืองทั้งหลายจะพากันขึ้นไปเมืองสวรรค์กันหมด
ทั้งเมืองจึงปราศจากเทวดา วันนี้จึงเรียกว่า “ วันว่าง “ คือเป็นวันที่ทุกสิ่งทุกอย่างว่างเทวดาคุ้มครอง
ชาวบ้านจะหยุดทำกิจการงานทุกอย่างเก็บสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆหมด
ครกและสากตำข้าวก็จะแช่เอาไว้สามวัน
ในวันว่าง
ชาวบ้านจะนำภัตตาหารและเครื่องนมัสการต่าง ๆไปทำบุญที่วัดใกล้บ้าน
เสร็จแล้วจึงไปสักการะและสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ ที่สนามหน้าเมือง และนิยมรองรับน้ำจากการสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์
เพื่อนำไปไว้ใช้ในงานมงคลที่บ้านของตนอีกด้วย
เมื่อสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์เสร็จแล้ว
ชาวนครศรีธรรมราชจะนำอาหาร เครื่องนุ่งห่ม
เครื่องใช้ไปให้ญาติคนแก่ที่ตนเคารพนับถือแล้วขออาบน้ำให้ท่านด้วย
เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว
ระยะเวลาดำเนินการ
ประเพณีอาบน้ำคนแก่
อยู่ในช่วงระยะเวลาของวันที่ ๑๓ - ๑๕ เดือนห้า(เมษายน) ของทุกปี
ซึ่งจะเลือกเอาวันไหนก็ได้
สาระสำคัญ
๑.การอาบน้ำคนแก่เป็นประเพณีที่มีบทบาทในการควบคุมคนในสังคมให้วางตนให้เหมาะสมตามฐานะของตน
คือเมื่อเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเพื่อให้คนเคารพนับถือ
เมื่อเป็นผู้น้อยก็ต้องแสดงความเคารพและมีความกตัญญูต่อผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ
๒.เป็นการแสดงถึงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ
อันได้แก่ คนแก่ในตระกูล บิดา มารดา ตลอดจนผู้ที่ตนเคารพนับถือทั้งหลาย
๓.เป็นการพบปะกันในระหว่างญาติพี่น้อง
ซึ่งก่อให้เกิดความผูกพันกันในวงศาคณาญาติ
สร้างความสนิทสนมกลมเกลียวรักใคร่กันในตระกูลยิ่งขึ้น
๔.สร้างความอบอุ่นปลาบปลื้มใจให้กับคนแก่ของตระกูล
ที่ได้เห็นความเป็นปึกแผ่นของลูกหลาน
๕.ทำให้เกิดความสุขความอิ่มเอิบใจ
ให้กับผู้ที่ได้ร่วมพิธีทำบุญตามประเพณีอาบน้ำคนแก่
5. ประเพณีสวดด้าน
ความเป็นมา
ในวันธรรมสวนะ
พุทธศาสนิกชนจะมาทำบุญฟังธรรมกัน ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
ซึ่งถือกันว่าเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนามาแต่โบราณ
จึงมีชาวบ้านมาทำบุญกันมากเป็นพิเศษ สถานที่ที่จัดให้มีภิกษุสงฆ์มาเทศนา
คือในวิหารคดหรือพระระเบียง ชาวนครศรีธรรมราช เรียกว่า “ ด้าน “ การเทศน์ของพระภิกษุสงฆ์จะมีด้านละหนึ่งธรรมาสน์เป็นอย่างน้อย
การไปฟังเทศน์ฟังธรรม
ชาวบ้านจะต้องเตรียมตัวไปนั่งรอที่พระระเบียงก่อนที่พระสงฆ์จะไปถึง ในขณะที่นั่งรอ
บางคนก็พูดคุยสนทนาเรื่องราวต่าง ๆ บางคนก็มีเรื่องราวมาบอกเล่าสู่กันฟัง
บางคนนั่งอยู่เฉย ๆทำให้น่าเบื่อ
ในที่สุดจึงเกิดความคิดเห็นพ้องกันว่าควรหาหนังสือมาสวดจนกว่าพระจะมาเทศน์
เพื่อจะได้ฟังกัน ได้ทั้งความเพลิดเพลินและความรู้เป็นคติสอนใจ
จึงเกิดประเพณีสวดด้านขึ้น
ระยะเวลาดำเนินการ
การสวดด้านจะมีเฉพาะในวันพระหรือในวันธรรมสวนะ(ขึ้นหรือแรม
๘ ค่ำ และขึ้นหรือแรม ๑๕ ค่ำ) เวลาก่อนเพล
ก่อนพระสงฆ์จะขึ้นธรรมาสน์แสดงธรรมเทศนาให้พุทธศานิกชนฟังที่ระเบียงทั้งสี่ด้านในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
สาระสำคัญ
๑.ผู้ฟัง
ได้ฟังสาระจากการสวดหรือการอ่านหนังสือ ได้ทั้งความรู้คติสอนใจ และความเพลินเพลิด
ส่วนผู้สวดได้ประโยชน์จากการอ่านหนังสือนับเป็นภูมิปัญญาที่ชาญฉลาดที่ช่วยให้คนรักการอ่านหนังสือและรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
ทั้งยังเป็นการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและการฟังแก่เด็กนักเรียนได้
๒.ได้ทราบข่าวความเป็นไปของบ้านเมือง
เพราะวัดเป็นศูนย์รวมของจิตใจ
๓.เกิดความรักความสามัคคีหมู่คณะที่ไปทำบุญวัดเดียวกันสร้างแบบอย่างให้แก่ลูกหลาน
๔.เป็นการอนุรักษ์วรรณกรรมของชาวนครศรีธรรมราชในฐานะปราชญ์ชาวบ้าน
ทั้งทางด้านภาษาและวรรณกรรมมาเป็นเวลายาวนานสมควรแก่การส่งเสริมให้มีการพัฒนาวรรณกรรมท้องถิ่นไว้เป็นมรดกของท้องถิ่นที่มีคุณค่ายิ่ง
6. ประเพณีให้ทานไฟ
ความเป็นมา
นครศรีธรรมราชตั้งอยู่ติดชายฝั่งทะเล
ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้น ในหน้าหนาวก็ไม่หนาวจัด
เพียงแต่คนรู้สึกว่าอากาศเย็นลงกว่าปกติ เนื่องจากไม่เคยชินกับอากาศที่หนาวเย็นลง
ตอนย่ำรุ่งเช้ามืดจึงลุกขึ้นมาก่อไฟผิงเพื่อสร้างความอบอุ่น
ประกอบกับชาวนครศรีธรรมราชยึดมั่นในพระพุทธศาสนา
พุทธศาสนิกชนจึงพากันก่อกองไฟในวัดใกล้บ้าน
แล้วนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาผิงไฟรับความอบอุ่นด้วย
ระยะเวลาดำเนินการ
การให้ทานไฟไม่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนตายตัวแล้วแต่ความสะดวกในการนัดหมาย
แต่ส่วนใหญ่จะปฏิบัติในช่วงเดือนยี่ ซึ่งป็นช่วงที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุด
ชาวบ้านจะนัดหมายไปพร้อมกันในเวลาย่ำรุ่งหรือตอนเช้ามืด ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ได้
สาระสำคัญ
๑..เป็นโอกาสหนึ่งที่ได้นัดหมายพร้อมกันในตอนเช้ามืด
เพื่อร่วมทำบุญเลี้ยงพระรวมทั้งร่วมรับประทานอาหารกันเป็นที่สนุกสนาน
ซึ่งเป็นการสร้างสามัคคีในหมู่คณะได้ดียิ่ง
๒.ทำให้มีสุขภาพดีมีพลานามัยแข็งแรง
เพราะการตื่นนอนตอนเช้าตรูได้รับอากาศบริสุทธิ์ ทำให้มีความสดชื่นเบิกบาน
๓.เมื่อได้ปฏิบัติตามประเพณีแล้วย่อมทำให้เกิดความสุขใจเบิกบานใจในผลบุญที่ตนได้กระทำ
อีกทั้งยังได้เป็นแบบอย่างแก่ลูกหลานของตนด้วย
แหล่งที่มา http://www.nakhonsithammarat.go.th/prapanee.php
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น