ของฝาก

มังคุดหวานเมืองนคร



มังคุดหวานเมืองนคร นครศรีธรรมราช เป็นจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทย ที่มีภูมิอากาศเหมาะสำหรับการปลูกมังคุดเป็นอย่างดี เนื่องจากมีความชื้นสูงและมีฝนตกชุกตลอดปี ในช่วงเดือนกรกฎาคม ? สิงหาคมของทุกปี เป็นช่วงที่มีมังคุดออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก มังคุดจึงเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียง และทำรายได้ให้แก่จังหวัดนครศรีธรรมราชมากกว่าผลไม้อื่นๆ
ชาวนครศรีธรรมราชนอกจากจะนิยมมังคุดที่เป็นผลสุกแล้ว ยังดัดแปลงผลที่ยังดิบมาเป็นของกินเล่น ที่เรียกว่า ?มังคุดคัด? โดยนำมังคุดมาคัด (งัด) เอาเปลือกออกโดยให้เนื้อและเมล็ดคงรูปเดิมไม่แต่กระจายออกจากกัน จากนั้นนำมาล้างให้สะอาด และแช่น้ำเกลือที่มีความเค็มอ่อนๆ ทิ้งไว้ให้น้ำเกลือดูดซืมเข้าในเนื้อจนทั่วแล้วใช้ไม้เสียบเรียงเป็นตับๆ ในแต่ละไม้จะมีมังคุดประมาณ 5-7 ผล มังคุดคัดจะมีสีขาวสะอาด กรอบ และรสชาติหวานมันอร่อย รับประทานได้ทั้งเนื้อและเมล็ด นิยมทำจำหน่ายกันมากในจังหวัดนครศรีธรรมราช


เครื่องถมเมืองนคร จังหวัดนครศรีธรรมราช


  องค์ความรู้
เครื่องถมเมืองนคร : เป็นงานที่ใช้ลักษณะการสร้างสรรที่ใช้แร่โลหะเงินโดยวิธีการตี และการโลหะหลอมสู่กรรมวิธีในการรูปทรงในลักษณะต่างๆ ที่มีการทำโดยผงยาถม น้ำประสานทองต่อด้วยการแกะสลัก และกาขัดผิว การใช้เช่น รูปแบบเป็นขัน , เครื่องถ้วยฉาม , กาน้ำ รวมถึงการเติมแต่งด้วยลวดลายที่มีความโดเด่น และเป็นผลิตภัณฑ์ที่พื้นเมืองที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยกรรมวิธีมีดังต่อนี้
จากรูปแบบปรากฏนั้น เครื่องถมนคร เป็นงานหัตถกรรมที่ด่าโลหะที่มีกระบวนการในการผลิตออกเป็น 3 ขั้นตอนได้ดังนี้
ขั้น1. ขั้นทำรูปพรรณ ที่ต้องใช้แนวคิด แสดงออกมาจากการการคำนวณ และแสดงออกเป็นรูปทรง
ขั้น 2. ขั้นแกะสลักลวดลาย เป็นงานที่เสริมสร้างลงสู่พื้นผิวในรูปทรงนั้น ที่มีความเป็นเอกภาพและโดดเด่น
ขั้น 3. ขั้นทำถมโดยลงบนพื้นผิวที่ เป็นร่องรอย (สีดำ) ลวดลายที่ปรากฏ ขั้นทำถมนั้นจะเป็นลักษณะคือการทำถมเป็นแผ่น แล้วการแกะสลักเอาเนื้อออกเป็นบริเวณโดยรอบและก็ชักเงา ก็จะได้เครื่องถมที่เป็นเหลี่ยม และมีวงกลมอยู่ตรงกลางเป็นพื้นสีดำนั้นว่า เครื่องถมและอีกวิธีหนึ่งในการทำถมนั้นโดยการใช้กรดกัด โลหะแต่วิธีนี้จะนิยมใช้เฉพาะช่างที่มีความชำนานเท่านั้น

หางอวน หัตถกรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช



ลักษณะการถักหางอวน
แนวคิดเบื้องต้นสมัยก่อนนั้น ชาวไทยมุสลิมที่เป็นชาวประมงที่บ้านหน้าทับ อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช จะทอหางอวนไว้ใช้เองแทบทุกบ้าน ปัจจุบันชาวประมงเลิกใช้หางอวนเป็นเครื่องมือจับสัตว์น้ำแล้ว เนื่องเพราะเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์และเครื่องมือจับสัตว์น้ำซึ่งทำจากวัสดุใยสังเคราะห์ เช่น ไนล่อน เป็นต้น แต่ก็ยังมีการทอหางอวนขายอยู่ทั่ว ๆ ไป ประมาณ 100 หลังคาเรือน โดยใช้กรรมวิธีแบบพื้นบ้านซึ่งทำกันมาแต่โบราณนอกจากหางอวนจะนำไปใช้ประโยชน์ในการลากกุ้งเคยทำกะปิแล้ว ยังเอามาประดิษฐ์เป็นผลิตดภัณฑ์ใช้สอยได้อย่างดีด้วย เช่น ทำกระเป๋าถือแบบต่าง ๆ ทำหมวกสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี ซองจดหมายและที่รองจาน ตลอดจนของที่ระลึกอื่น ๆ อีกมากในต่างประเทศ มีการส่งเสริมให้ผลิตผืนหางอวนเป็นจำนวนมาก เพื่อใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวและส่งเป็นสินค้าออกนำรายได้เข้าประเทศ ผืนหางอวนนี้นอกจากใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์โดยตัวของมันเองแล้ว ยังนิยมใช้เป็นวัสดุซับในสำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทกระเป๋า ตะกร้าใส่ของ ซึ่งทำจากเส้นใยพืชชนิดอื่น ๆ ทั้งนี้เพราะให้ความสวยงามเข้ากันได้ดีกับวัสดุธรรมชาติทั่วไป มีความเหนียวและทนทาน อนึ่ง เส้นลานที่นำมาใช้ทอหางอวนยังใช้เทคนิคการจักสานแบบอื่น เช่น การถัก เป็นลวดลาย ทำผลิตภัณฑ์ กระเป๋า รองเท้า ฯลฯ ผลิตภัณฑ์ที่ถักด้วยเส้นลานนี้ มีความเหนียว ยืดหยุ่นตัวได้ดี ควรที่จะได้ส่งเสริมการทำผลิตภัณฑ์จากหางอวนและเส้นลายให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น

การแกะหนังตะลุง จังหวัดนครศรีธรรมราช



ลักษณะของการแกะหนัง ของนายช่างในจังหวัดนครศรีธรรมราช
แนวคิดเบื้องต้นการแกะหนัง เป็นงานหัตถกรรมที่สืบมาแต่อดีตควบคู่กับการเล่นหนังตะลุง จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา เป็นแหล่งที่มีการทำหัตถกรรมประเภทนี้มากที่สุด แต่เดิมการแกะหนังจะทำเฉพาะรูป สำหรับเชิดในการเล่นหนังตะลุงเท่านั้น ต่อมาในระยะหลังมีผู้คิดนำเอารูปหนังตะลุง นำมาขายเป็นสินค้นที่ระลึกตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ และมีการคิดแกะเป็นรูปจับและรูปหนังใหญ่ เพื่อใช้เป็นเครื่องตกแต่งฝาผนัง อาคารบ้านเรือน
วัสดุ1. หนังวัว หนังควาย หนังแกะ หนังแพะ
2. กรอบไม้สี่เหลี่ยมสำหรับตากหนัง
3. แบบลายภาพ
4. เครื่องมือตอกและสลักลาย ได้แก่ เขียง มีดปลายแหลม มีดปลายมน ตุ๊ดตู่ ค้อน เทียนไข
5. หมึกสีจากสีธรรมชาติหรือสีวิทยาศาสตร์
6. น้ำยางใสหรือน้ำมันเคลือบเงา
วิธีการทำขั้นการเตรียมหนัง : หนังสัตว์ที่ช่างนิยมนำมาแกะรูปหนังมี ๒ อย่างถือ หนังวัว และหนังควาย ในการเตรียมหนังช่างจะนำหนังสดมาขึงกับกรอบไม้สี่เหลี่ยม ตากให้แห้งสนิทแล้วนำหนังไปฟอก จากนั้นจะขูดหนังส่วนที่เป็นพังพืดออก เพื่อให้หนังมีความหนาบางเท่ากัน
ขั้นร่างภาพ : การร่างภาพเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการแกะรูปหนัง ช่างจะต้องเข้าใจในภาพที่จะแกะออกมา เช่น ตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ ช่างต้องรู้จักลักษณะตัวละครเป็นอย่างดี ช่างนิยมใช้เหล็กจารที่ปรากฏบนแผ่นหนังสามารถลบได้ง่าย
ขั้นแกะฉลุ : เมื่อร่างภาพเสร็จก็ถึงขั้นฉลุ ขั้นนี้ต้องใช้ความชำนาญและต้องพิถีพิถันมาก เครื่องมือที่สำคัญ ได้แก่ เขียงไม้เนื้ออ่อนไม้เนื้อแข็งอย่างละอัน มีดสำหรับขุดปลายแหลมปลายมน ตุ๊ดตู่หรือมุก ๑ ชุด ฆ้อนตอกมุก เทียนไขหรือสบู่สำหรับจิ้มปลายมุกหรือมีดขุด
วิธีแกะ : ถ้าตอนใดเป็นกนกหรือตัวลายจะใช้มีดขุด การขุดจะใช้เขียงไม้เนื้ออ่อนรองหนัง แล้วกดปลายมีดไปเป็นจังหวัดตามลวดลายแต่ละตัว โดยไม่ต้องยกมีด ถ้าตอนใดต้องทำเป็นดอกลายต่าง ๆ หรือเดินเส้นประก็ใช้มุกตอกตามลักษณะของปากมุกแต่ละแบบ การตอกมุกจะใช้ฆ้อนตอก โดยมีเขียงไม้เนื้อแข็งรองหนัง หลังจากแกะฉลุส่วนภายในของตัวรูปเสร็จ ก็ใช้มีดขุดแกะหนังตามเส้นรอบนอก ก็จะได้รูปหนังแยกออกเป็นตัว
ขั้นลงสี : การลงสีรูปหนัง ขึ้นอยู่กับลักษณะรูปและประโยชน์การใช้สอย รูปหนังสำหรับเชิดมีความมุ่งหมาย จะใช้แสดงนาฏการเล่นแสง สี และเงา ต้องการความเด่นสะดุดตา ช่างจึงเลือกใช้สีฉูดฉาด เอาสีที่ตัดกันมาใช้ร่วมกัน และเป็นสีโปร่งแสง เช่น หมึกสี หรือที่ช่างแกะหนังเรียกว่า สีซองหรือ สีเยอรมันสีประเภทนี้เวลาใช้จะผสมด้วยสุรา น้ำร้อน คุณสมบัติของสีชนิดนี้สามารถซิมติดอยู่ในเนื้อหนังและไม่ลอกง่าย ขั้นลงน้ำมันชักเงา เมื่อลงรูปหนังเสร็จ ก็ถือว่ารูปหนังเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะมีการลงน้ำมันชักเงาหรือไม่ก็ได้
การทำกะปิ ของชาวขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช



ลักษณะ(1.) กุ้ง ที่ใช้ทำกะปิจะต้องมีขนาดเล็กที่สุด ได้แก่ กุ้งรำ กุ้งสายไหม กุ้งสารส้มโอ ( กุ้งรำ) จะมีขนาดเล็กที่สุด ลักษณะตัวกุ้งจะเป็นสีชมพูอ่อน ๆ เมื่อนำไปทำกะปิ จะได้กะปิเนื้อละเอียด แน่น ให้เนื้อกะปิมาก และทำง่ายกว่ากุ้งชนิดอื่น ( กุ้งสายไหม) มีลำตัวยาวและมีหนวดมาก ตัวใหญ่กว่ากุ้งรำเล็กน้อย ตัวกุ้งมีสีชมพู นำไปทำกะปิจะได้กะปิสีสวย น่ารับประทานกว่ากุ้งชนิดอื่น ( กุ้งสารส้มโอ) มีขนาดใหญ่กว่ากุ้งสายไหม สีออกขาว เวลานำไปทำกะปิจะได้กะปิที่หยาบ เพราะกุ้งตัวใหญ่ สีของกะปิจะไม่สวย
(2.) เกลือ จะใช้เกลือเม็ดเล็กๆเพื่อนำมาตำกับกุ้ง
(3.) น้ำตาล ใช้น้ำตาลอ้อย
อุปกรณ์ : (1). ครกตำ ควรใช้ครกที่ทำด้วยท่อนไม้ขนาดใหญ่และสากไม้ตำ (2).กะละมัง ใช้ใส่กะปิ และหมักกะปิที่ทำเสร็จแล้ว (3).ช้อน ใช้ช้อนขนาดใหญ่ ในการตักกะปิที่ตำเสร็จแล้ว (4.) ไห ใช้ใส่กะปิที่ตำเสร็จแล้ว เพื่อให้กะปิเก็บไว้ได้นาน (5.)เครื่องบดกุ้ง ใช้ในการบดกุ้งให้ละเอียดและรวดเร็ว
วิธีการทำ1. นำกุ้งที่ได้มาล้างกับน้ำทะเลไม่ควรล้างในน้ำธรรมดาเพราะจะทำให้กุ้งเสียรสชาดได้ เพื่อให้ได้รสชาดกะปิดี และล้างสิ่งสกปรกที่ติดมากับกุ้งออกแล้วนำกุ้งไปตากแดด โดยไม่ให้แห้งจนเกินไป ควรตากพอหมาดๆเพราะหากตากแห้งจะทำให้ตำได้ไม่ละเอียด
2. นำก้งที่ตากไว้พอหมาดๆมาตำ ซึ่งขณะที่ตำจะต้องใส่เกลือผสมลงไปด้วย โดยใช้กุ้ง 3 กิโลกรัม เกลือ 1 ถ้วยตวง แล้วตำผสมให้เข้ากัน
3.นำกุ้งตีผสมเกลือและตำเสร็จใส่กะละมัง หมักไว้ประมาณ 3 คืน
4. เมื่อครบ 3 คืนแล้วนำกุ้งที่หมักไว้ไปปั้นเป็นก้อนแบนๆแล้วนำไปตากแดดอีกครั้งหนึ่งประมาณ 2 วัน
5. เมื่อครบ 2 วันแล้ว ให้นำกุ้งที่ตากไว้มาตำอีกครั้งหนึ่งให้ละเอียด ใส่เกลือลงไปอีกครั้งหนึ่งประมาณ 1/4 ถ้วยตวง แล้วใส่น้ำตาลเล็กน้อยตามชอบ จะได้กะปิที่มีรสชาดที่ดี ถูกหลักอนามัย
6. วิธีเก็บรักษากะปิมี 2 ขั้นตอน คือ 1) อัดแน่น 2) ขัดน้ำ

ขนมลา จังหวัดนครศรีธรรมราช



ลักษณะการทอดขนมลา ณ บริเวณวัดพระมาธาตุวรวิหาร
ลักษณะนำแป้งที่แห้งแล้วนั้นไปตำให้ร่วนแล้วใส่น้ำผึ้งที่เตรียมไว้คลุกเคล้ากันจนเข้ากันดีแล้ว เอามือจุ่มโรยดุเมื่อเห็นว่าเป็นเส้นดีและโรยได้ไม่ขาดสายก้ใช้ได้ลองชิมดูรสจนเป็นที่พอใจ
วิธีการทำล้างข้าวให้สะอาดแล้วหมักใส่กระสอบไว้ 2 คืน พอครบกำหนดแล้วล้างให้หมดกลิ่นบดให้ละเอยดนำแป้งไปบรรจุลงถุงผ้าบาง ๆ นำไปแขวนหรือวางให้สะเด็ดน้ำ เมื่อแป้งแห้งแล้วนำไปวางราบลง หาของหนัก ๆ วางทับไว้เพื่อให้แห้งสนิท

การท้อผ้าพื้นเมืองบ้านมะม่วงปลายแขน จังหวัดนครศรีธรรมราช



ลักษณะผ้าพื้นเมืองบ้านมะม่วงปลายแขน
แนวคิดเบื้องต้นการใช้เส้นใยธรรมชาติในการทอสานเป็นเครื่องนุ่งห่ม และเป็นเสื้อผ้าต่างๆ
วัสดุ1. เครื่องทอผ้าพื้นเมือง มีเครื่องต่าง ๆ ประกอบด้วยฟีมมีลักษณะคล้ายหวี ทำหน้าที่ตบกระแทกให้เส้นได้สานขัดกันเป็นลายเนื้อผ้าติดกัน ตีนฟีมผู้ทอจะใช้ขาเยียบให้ขึ้น ๆ ลง ๆ เวลาขัดลายดอกและเนื้อผ้า เขายกเหยียบลูกพันและฟันลูกกระหยกลูกตุ้ง ผังสำหรับขึงไม่ให้เส้นด้ายยุ่งนัดใจและนัดสอดใช้สำหรับพุ่งสอดระหว่างเส้นด้าย ดรนใสไหมดอกช้เฉพาะเวลาทอผ้ายกดอก
2.ไนหรือที่ปั่นด้าย
3. เครื่องปั่นด้าย สำหรับปั่นด้ายใส่หลอดด้าย
4. เส้นด้าย ใช้ด้ายฝ้ายผสมคอดตอน ซึ่งต้องซื้อมาจากตลาดในตัวเมือง

กำไลถมทอง ถมเงิน จังหวัดนครศรีธรรมราช



 ลักษณะกำไลถมทอง
วัสดุ1.แผ่นเงิน มีส่วนผสม คือ เงิน 95 ส่วน และทองแดง 5 ส่วน หลอมเป็นโลหะผสมเป็นเงินสำหรับตีแผ่ให้เป็นรูปกำไล 2.ยาถม มีส่วนผสคือ ทองแดงบริสุทธิ์ ตะกั่วอย่างดี เงินแท้ ในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน หลอมให้เข้ากันเป็นยาถม ซึ่งลักษณะแข็งสีดำเป็นนิล 3.น้ำประสานทอง นำไปคลุกผสมกับยาถมที่ทุบละเอียดค่ะ ได้เป็นน้ำยาถม 4.ทองคำบริสุทธิ์ นำมาทำทองเปียกโดยบดทองคำให้เป็นผงทรายนำไปผสมกับปรอทให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
การใช้องค์ความรู้การทำกำไลถมเงิน
1. นำแผ่นเงินมาตีแผ่ให้ได้ขนาดตามที่ต้องการที่จะนำไปทำกำไล เขียนลวดลายแล้วแกะสลักลายให้เป็นรอยลึกนูนดุนออกไปอีกข้างหนึ่ง ตกแต่งผิวให้เรียบร้อย ขัดจนขาวเป็นเงา
2.นำน้ำยาถมที่เตรียมไว้แปะลงบนลวดลาย ใช้ไฟเป่าให้แล่นกระจายเต็มลวดลายทั่วทุกส่วน ควรลงน้ำยาถม 3- 4 ครั้ง แล้วนำไปแต่งผิวให้เรียบจนลวดลายปรากฏชัดเจน ปรับแต่งรูปทรงกำไลให้สวยงาม
3. ขัดผิว โดยขัดกำไลด้วยกระดาษทรายละเอียด ถูด้วยถ่านไม้เนื้ออ่อน แล้วนำไปขัดด้วยยาขัดโลหะ
4. การแกะแรลวดลาย คือการแลเงาลวดลายให้สวยอ่อนช้อย และชัดเจน แล้วจึงนำไปขัดด้วยยาขัดให้กำไลขึ้นเงางาม จะได้กำไลถมเงินที่ลวดลายสวยงาม การทำกำไลทอง
4.1 ขั้นตอนระยะแรกมีวิธีการทำเหมือนกำไลถมเงิน แต่ไม่ต้องแกะแรลวดลาย เพียงขัดผิวเช็ดถูให้สะอาดด้วยมะนาวให้ผิวเงินสะอาด
4.2 การทาทอง โดยการนำทองเปียกที่เตรียมไว้ทาให้ทั่วส่วนที่เป็นเงินบนกำไล แล้วนำไปอบความร้อนบนเตาผิง ทำซ้ำ 3 - 4 ครั้ง เพื่อให้ปรอทระเหยจนหมด เหลือแต่เนื้อทองคำบริสุทธิ์เคลือบติดแน่นกับเนื้อเงิน
5.การแกะแรหรือลงลาย โดยการสลักลวดลายเพิ่อมเติมให้อ่อนช้อย สวยงาม และชักเงา
ประโยชน์ในสมัยโบราณ เครื่องมทอง ถือว่าเป็นของสูง ใช้อยู่ในหมู่ขุนนางชั้นสูง ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนมาเป็นงานหัตถกรรมที่มีชื่อเสียงของนครศรีธรรมราช ช่างถมได้ปรับรูปแบบมาเป็นกำไล ที่ติดเสื้อ ติดผมและนำไปประกอบกับกระเป๋าย่านลิเพา ทำให้กระเป๋าลิเพามีคุณค่าและสวยงาม ปัจจุบันกำไลถมเงินและถมทอง มีหลายรูปแบบ และหลายลวดลายทั้งรูปแบบกลม แบน กว้างและแคบ ผู้สนใจสามารถเลื้อกซื้อไปใช้เป็นของประดับสวมใส่อย่างภูมิใจในฝีมือช่างที่งดงามและประณีต

จักสานย่านลิเพา จังหวัดนครศรีธรรมราช



แนวคิดเบื้องต้นการนำเศษวัสดุตามธรรมชาติมาสานเป็นเครื่องมือเครื่องใช้
วัสดุ1.ย่านลิเพา
การใช้องค์ความรู้ย่านลิเพามีลักษณะเป็นหยัก ๆ คล้ายตีนจิ้งจก ลักษณะเป็นเถาวัลย์ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ในบริเวณที่เป็นเนินหรือตีนเขา ย่านลิเพาลักษณะมีลำต้นกลมขนาดก้านไม้ขีดไฟ ยาวประมาณ ๑ วาเศษ เป็นใบรวมมี ๕ ใบย่อย ลักษณะใบเรียวยาว ย่านลิเพามีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น บางท้องถิ่นเรียก ย่านนิเพา ย่านยายเพา หรือย่านลิเพาที่กล่าวนี้มี ๒ ชนิด คือ ย่านลิเพาใหญ่ และย่านลิเพาเล็ก ขั้นจักสานเป็นภาชนะตามที่ต้องการ ก่อนลงมือสานต้องนำย่านลิเพาแช่น้ำให้เปียกอยู่เสมอ เวลาสานใช้หวายริงโร หรือไม้ตีนเป็นโครงภายใน การสานจึงยากอยู่ที่การขึ้นต้นนี่เอง เพราะต้องการอาศัยความละเอียดละออและอาศัยเวลานาน ต่อจากนั้นก็สานต่อเป็นชั้น ๆ ตามรูปทรงจนแล้วเสร็จ ผลิตภัณฑ์จากย่านลิเพามีความสวยงามอยู่ที่ความประณีต และการผูกลาย หรือการทำลายในตัว ซึ่งเกิดจากการใช้ย่านลิเพาสลับกัน การสร้างลายเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่อาศัยความชำนาญของผู้สาน ด้วยเหตุนี้เองผลิตภัณฑ์จากย่านลิเพาชิ้นหนึ่ง ๆ จึงมักใช้เวลามากน้อยต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความประณีตประกอบลายให้เกิดความสวยงาม
ประโยชน์งานจักสานย่านลิเพา เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นศิลปะหัตถกรรมชั้นเยี่ยมของชาวปักษ์ใต้ โดยเฉพาะชาวเมืองนครศรีธรรมราช เป็นงาน ในการสร้างอาชีพในงานช่างพื้นเมืองของชาวนครศรีธรรมราช ทั้งในอดีตและปัจจุบัน  
แกงพุงปลา



วิธีการทำเครื่องปรุงแกงพุงปลา
1.พุงลาที่หมักได้ที่แล้ว
2.เครื่องแกง มีพริกแห้ง หอม กระเทียม ตะไคร้ ข่า พริกไทย ขมิ้น นำมาโขลกให้ละเอียด
3. กะปิ
วิธีการทำพุงปลา
1.นำพุงปลามาทำให้สะอาด โดยเอาขี้ปลาออกให้หมด
2.นำพุงปลาที่สะอาดแล้วมาซาวด้วยเกลือพอประมาณ
3.นำพุงปลาซาวเกลือใส่ขวดแก้วหรือใส่กระปุก ปิดฝาให้มิดชิด ทิ้งประมาณ 3 - 4 สัปดาห์เปิดออกดูจะได้กลิ่นหอมเปรี้ยว นำไปแกงได้
วิธีการทำแกงพุงปลา1.นำปรุงปลาตั้งไฟให้เดือด เทกรองเอาเฉพาะน้ำ เติมน้ำตามสมควรตั้งไฟให้เดือด
2.ใส่เครื่องแกง เมื่อเดือดได้ที่ เติมเครื่องปรุง น้ำตาล น้ำมะนาว กะปิ

3. ใส่ปลาย่าง ผักสด      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น